รายได้เท่าไหร่ต้องเสียภาษี

รายได้เท่าไหร่ต้องเสียภาษี เรื่องห้ามพลาด คนทำงานต้องรู้

รายได้เท่าไหร่ต้องเสียภาษี? ไม่ใช่ว่าทุกคนที่มีรายได้ต้องเสียภาษี แต่ว่าเราต้องเช็กให้ดีว่าเมื่อไรเราต้อง “ยื่น” และ “เสีย” ภาษีบ้าง เรื่องนี้จำเป็นมากๆ สำหรับคนทำงาน ไม่ว่าจะเป็น First Jobber นักศึกษาจบใหม่ พนักงานประจำ ฟรีแลนซ์ หรือแม้แต่กระทั่งเจ้าของธุรกิจส่วนตัว หลายคนยังเข้าใจผิดว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องยื่นภาษี หรือเสียภาษี ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วกำลังทำผิดกฎหมายอยู่โดยไม่รู้ตัว

บทความนี้ เราจึงได้สรุปมาให้ทุกคนแล้วค่ะว่า “รายได้เท่าไรต้องยื่นภาษี” และ “รายได้เท่าไหร่ต้องเสียภาษี” เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับคนที่เพิ่งมีรายได้ รวมไปถึงคนมีรายได้มานานแล้วแต่ไม่เคยยื่นภาษีสักที ให้เคลียร์กันชัดๆ แบบสบายใจกันไปเลยค่ะ

“ยื่นภาษี” กับ “เสียภาษี” คืออะไร ต่างกันยังไง?

ก่อนอื่นเลย อยากชวนทุกคนมาทำความเข้าใจเรื่องการยื่นภาษี VS เสียภาษีกันก่อนนะคะ

ยื่นภาษี คือ การนำส่งแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้กับกรมสรรพากร เพื่อบอกว่าเรามีรายได้เท่าใด ค่าใช้จ่ายเท่าใด และมีหักลดหย่อนอะไรบ้าง ผ่านแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี ภ.ง.ด.90 หรือ ภ.ง.ด.91

เสียภาษี คือ การจ่ายเงินค่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เมื่อยื่นภาษีแล้ว ข้อมูลต่างๆ จะผ่านกระบวนการคำนวณหา รายได้สุทธิ เพื่อคูณกับอัตราภาษี แล้วถึงจะรู้ว่าเราต้องเสียภาษีหรือไม่ ตามสูตรคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้านล่างจ้า

รายได้สุทธิ = รายได้ – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา = รายได้สุทธิ x อัตรภาษี

ดังนั้น การยื่นภาษี ไม่เท่ากับ การเสียภาษี

  • เราต้องยื่นภาษีตามหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด
  • เสียภาษีขึ้นอยู่กับการคำนวณภาษี จากฐานรายได้สุทธิ และอัตราภาษีที่กฎหมายกำหนด
  • เมื่อยื่นภาษีแล้ว อาจจะไม่ต้อง เสียภาษีเสมอไป
ยื่นภาษี เสียภาษี ต่างกันอย่างไร
ยื่นภาษี เสียภาษี ต่างกันอย่างไร

อ่านมาถึงตรงนี้ ทุกคนก็น่าจะเข้าใจแล้วใช่ไหมว่า ยื่นภาษี กับ เสียภาษีนั้นมันคนละเรื่องกันนะเธอ!

รายได้เท่าไรต้องยื่นภาษีบุคคลธรรมดา?

เมื่อเข้าใจแล้วว่าการยื่นภาษีต่างกับเสียภาษี ถัดมาเรามาดูกันค่ะ ว่ารายได้เท่าไรต้องยื่นภาษีบุคคลธรรมดานะ

รายได้เท่าไรต้องยื่นภาษี
รายได้เท่าไรต้องยื่นภาษี

 ไม่ใช่ทุกคนต้องยื่นภาษี แต่เป็นคนที่มีรายได้ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำ ซึ่งภาษากฎหมายเรียกว่า “เงินได้พึงประเมินขั้นต่ำ”

เงินได้พึงประเมินขั้นต่ำที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษี แบ่งได้ดังนี้

ประเภทเงินได้โสดสมรส
เงินเดือนเพียงอย่างเดียว120,000220,000
เงินได้ประเภทอื่น60,000120,000
  1. ผู้ที่มีรายได้เงินเดือนเพียงอย่างเดียว สถานภาพ โสด เงินได้พึงประเมินขั้นต่ำ 120,000 บาท
  2. ผู้ที่มีรายได้เงินเดือนเพียงอย่างเดียว สถานภาพ สมรส เงินได้พึงประเมินขั้นต่ำ 220,000 บาท
  3. ผู้ที่มีรายได้ประเภทอื่น เช่น อาชีพอิสระ ขายทรัพย์สิน ค้าขาย ดอกเบี้ย เงินปันผล เป็นต้น สถานภาพ โสด เงินได้พึงประเมินขั้นต่ำ 60,000 บาท
  4. ผู้ที่มีรายได้ประเภทอื่น เช่น อาชีพอิสระ ขายทรัพย์สิน ค้าขาย ดอกเบี้ย เงินปันผล เป็นต้น สถานภาพ สมรส เงินได้พึงประเมินขั้นต่ำ 120,000 บาท

ยกตัวอย่าง

  • นาย A สถานภาพโสด จะเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ต่อเดือน 10,500 บาท คิดเป็นต่อปี 126,000 บาท ต้องยื่นภาษี
  • นาย B สถานภาพโสด จะเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ต่อเดือน 26,000 บาท คิดเป็นต่อปี 312,000 บาท ต้องยื่นภาษี
  • นาย C มีครอบครัวแล้ว สถานะสมรส ทำอาชีพอิสระ มีรายได้ต่อปี 100,000 บาท ไม่ต้องยื่นภาษี

สำหรับคนที่เข้าเกณฑ์ยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอยากยื่นภาษีด้วยตัวเองอ่านนี่เลย สอนยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วยตัวเอง Step-by-Step

รายได้เท่าไหร่ต้องเสียภาษี?

เข้าใจแล้วว่าใครต้องยื่นภาษีบ้าง ถัดมาเรามาทำความเข้าใจกันเพิ่มว่าแล้วรายได้เท่าไหร่ต้องเสียภาษีนะ

จากที่เราเกริ่นไว้ว่า ทุกคนที่ยื่นภาษีอาจจะไม่ต้องเสียภาษีเสมอไป เพราะการเสียภาษีเกิดจากการคำนวณภาษี โดยใช้รายได้สุทธิ x อัตราภาษี

ซึ่งอัตราภาษีจะเป็นอัตราตามขั้นบรรได คนที่มีเงินได้สุทธิตั้งแต่ 1-150,000 บาท/ปี จะได้รับการยกเว้นอัตราภาษี ส่วนคนที่มีรายได้สุทธิตั้งแต่ 150,0001 บาทขึ้นไป จะต้องเสียภาษีในอัตราตั้งแต่ 5%

รายได้เท่าไหร่ต้องเสียภาษี
รายได้เท่าไหร่ต้องเสียภาษี

สำหรับอัตราภาษีเงินได้บุคคลแบบขั้นบรรไดอัปเดตของประเทศไทยแบบเต็มๆ ดูได้ตามตารางด้านล่างนี้เลยค่ะ

เงินได้สุทธิ (บาท)อัตราภาษี (ร้อยละ)
1 – 150,000ได้รับการยกเว้น
150,001 – 300,0005
300,001 – 500,00010
500,001 – 750,00015
750,001 – 1,000,00020
1,000,001 – 2,000,00025
2,000,001 – 5,000,00030
5,000,001 ขึ้นไป35

ยกตัวอย่าง

  • นาย A สถานภาพโสด จะเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ต่อเดือน 10,500 บาท คิดเป็นต่อปี 126,000 บาท ต้องยื่นภาษี เมื่อคำนวณภาษี เงินได้สุทธิ = รายได้ (126,000) – ค่าใช้จ่าย (50% ของรายได้ 63,000) – ค่าลดหย่อน (60,000) = 3,000 บาท มาเทียบกับตารางอัตราภาษี อยู่ในช่วง 1-150,000 ได้รับการยกเว้น ไม่ต้องเสียภาษี
  • นาย B สถานภาพโสด จะเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ต่อเดือน 26,000 บาท คิดเป็นต่อปี 312,000 บาท ต้องยื่นภาษีเมื่อคำนวณภาษี เงินได้สุทธิ = รายได้ (312,000) – ค่าใช้จ่าย (50% ของรายได้ไม่เกิน 100,000) – ค่าลดหย่อน (60,000) = 152,000 บาท มาเทียบกับตารางอัตราภาษี อยู่ในช่วง 1-150,000 ได้รับการยกเว้น และ 2,000 อยู่ในช่วงภาษี 5% ภาษีที่ต้องเสีย = 2,000 x 5% = 100 บาท

สำหรับคนทำธุรกิจส่วนตัววิธีการคำนวณภาษีอาจจะซับซ้อนกว่าหน่อยลองดูตัวอย่างนี้ได้เลยค่ะ ทำธุรกิจส่วนตัว เสียภาษีบุคคลธรรมดาอย่างไร?

สำหรับค่าใช้จ่ายที่แต่ละคนหักได้นั้นแตกต่างกันตามประเภทรายได้ ตามตารางนี้

เงินได้แต่ละประเภทหักค่าใช้จ่ายได้เท่าไร
เงินได้แต่ละประเภทหักค่าใช้จ่ายได้เท่าไร

ส่วนค่าลดหย่อนก็จะแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคลเช่นกัน เช็กวิธีลดหย่อนภาษีที่นี่

จากตัวอย่างข้างบนนี้จะพบว่า รายได้เราต้องสูงถึงเดือนละ 26,000 บาท ถึงจะต้องเสียภาษีนะ และจริงๆ ภาษีที่เสียก็แค่ 100 บาท (ถูกกว่าชานมไข่มุกบางยี่ห้ออีกน้า)

ดังนั้น คนที่มีรายได้ อย่าเพิ่งกลัวการเสียภาษีเกินเหตุเพราะบางที 1) เงินได้สุทธิเราอาจจะไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษี หรือ 2) อัตราภาษีเราอาจจะต่ำมากๆ ทำให้ภาษีที่คำนวณได้ต่ำสุดๆ

บอกรายได้ไม่ครบจบที่เสียภาษีน้อยจริงไหม?

เข้าใจกันไปแล้วว่า “รายได้เท่าไรต้องเสียภาษี?” ตอนนี้คนที่ยังกังวลการเสียภาษีอยู่ก็น่าจะเป็นคนที่รายได้สูงๆ ใช่ไหมคะ

พอมีรายได้สูง บวกกับกลัวการเสียภาษี หลายคนก็อาจจะปิ๊งไอเดียแปลกๆ ในการหลบเลี่ยงภาษี อย่างเช่น

บอกรายได้สรรพากรไม่ครบ เพื่อที่จะเสียภาษีน้อยๆ

เสมือนว่า ชั้นยื่นภาษีนะ แต่ยื่นไม่ครบ ความเข้าใจนี้จะจบลงที่เสียภาษีน้อยจริงหรือไม่? ลองมาดูกันค่ะ

บอกรายได้ไม่ครบ จบที่เสียภาษีน้อย
บอกรายได้ไม่ครบ จบที่เสียภาษีน้อย

1. เงินเข้าแต่ละทางมีเส้นทางการเงินเสมอ

สมมติเรามีรายได้หลายทาง แต่บอกรายได้สรรพากรแบบต่ำๆ จากรายได้เส้นทางเดียว ที่เหลือปล่อยผ่าน

  • หากมีเงินเข้าบัญชีธนาคาร ก็สามารถเช็กประวัติการทำธุรกรรมที่ Bank Statement ได้ เพราะ รายการทั้งหมดจะถูกบันทึกไว้ในนี้
  • หากรับเงินผ่าน Wallet แม้จะแยกกระเป๋าตังค์ออกมาจากสมุดบัญชีก็เช็กรายการทั้งหมดผ่านรายงานเงินเข้าออกอยู่ แถมยังเชื่อมโยงกับบัญชีธนาคารอีกด้วย
  • หากเป็นเงินที่ได้จากบัตรเครดิต มักจะมีการชำระเงินผ่าน Payment Gateway ซึ่งระบบจะบันทึกข้อมูลเงินเข้าออกเป็นรายงานออกมา ยังไงก็ตรวจสอบได้ค่ะ
  • แม้แต่เงินสดเองที่ดูท่าจะตรวจสอบได้ยาก แต่ก็อาจมีคนอื่น ๆ สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวทางการเงินอยู่ดีค่ะ

ถ้าเปรียบเทียบรายได้ของธุรกิจเป็นโพสต์หนึ่งในโลกโซเชียลมีเดีย เวลาเราโพสต์อะไรไป แม้จะผ่านไปแล้วหลายปีก็จะมี Digital Footprint ทิ้งร่องรอยเอาไว้ว่าเราเคยโพสต์อะไรไป และคนอื่นอาจจะตรวจสอบพบเจอได้ เช่นเดียวกันค่ะ หลักฐานเส้นทางการเงินอย่าง Bank Statement หรือรายงานเงินเข้าออกเปรียบเสมือน Digital Footprint ที่กรมสรรพากรสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้อยู่ดี

2. สต๊อกหายไป = รายได้เพิ่มขึ้น

สำหรับคนทำธุรกิจส่วนตัว อาจจะแจ้งรายได้ต่ำ และทำธุรกรรมการเงินแบบเนียนมาก โดยให้คนอื่นรับเงินแทน หรือรับเงินสดอย่างเดียว

ถ้าตรวจสอบทางบัญชีไม่ได้ว่าเจ้าของธุรกิจมีรายได้เข้ามาจริง ๆ กี่บาท สุดท้าย สรรพากรก็จะไปตรวจสอบจากสต๊อกสินค้าอยู่ดี ว่าสต๊อกที่ซื้อเข้ามานั้น หายออกไปเท่าไรบ้าง คำนวณมาเป็นต้นทุนขาย และรายได้ได้ในที่สุดค่ะ

ถ้ายื่นรายได้ไม่สัมพันธ์กับจำนวนสต็อกที่ลดลงในระหว่างเดือน อาจจะเป็นสัญญาณเตือนที่บ่งบอกได้ว่า มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น ก็จะทำให้สรรพากรเข้ามาตรวจสอบได้ง่ายขึ้น และก็โดนปรับ โดนเสียภาษีย้อนหลังที่แพงหูฉี่ไปตามระเบียบค่ะ

สรุป

บทความนี้น่าจะตอบคำถามทุกคนที่มีข้อสงสัยได้ว่า รายได้เท่าไหร่ต้องเสียภาษี อย่างแรกต้องเข้าใจก่อนว่า “ยื่นภาษี” กับ “เสียภาษี” นั้นแตกต่างกัน สำหรับการเสียภาษีให้โฟกัสสองเรื่องคือ รู้เงินได้สุทธิ และรู้อัตราภาษี

เราจะเสียภาษีก็ต่อเมื่อมีรายได้สุทธิตั้งแต่ 150,001 บาทต่อปีขึ้นไป (เพราะต่ำกว่านี้อัตราภาษียกเว้น) ซึ่งถ้าเฉลี่ยเป็นรายได้ต่อเดือนจะตกขั้นต่ำเดือนละ 26,000 บาทค่ะ

แต่ถ้าใครมีรายได้ที่หักค่าใช้จ่ายได้เยอะ และมีค่าลดหย่อนที่สูงก็จะทำให้เงินได้สุทธิของตัวเองต่ำลง และเสียภาษีน้อยลงด้วย ลองทำความเข้าใจเรื่องวิธีคำนวณภาษีเพิ่มเติมอาจจะช่วยให้เรากระจ่างขึ้น และไม่หลงไปใช้วิธีผิดๆ ในการหลีกเลี่ยงภาษี เพราะบางทีค่าปรับจากการหลบภาษีอาจจะมากกว่าภาษีที่เราต้องเสียเยอะทีเดียวเลยค่ะ

รู้ตัวว่าต้องเสียภาษี แต่ไม่ชัวร์ว่ายื่นเองถูกไหม ใช้บริการยื่นภาษีสำหรับมือใหม่ ติดต่อ Line: @zerotoprofit

ติดตาม Zero to Profit ได้ที่

Facebook: https://facebook.com/ZerotoprofitTH/

Blockdit: https://www.blockdit.com/zerotoprofit

ผู้สร้างสรรค์คอนเทนต์ด้านบัญชีธุรกิจ ที่เชื่ออย่างสุดหัวใจว่า การทำบัญชีช่วยให้ธุรกิจมีกำไร ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง