ใกล้จะถึงช่วงฤดูยื่นภาษีกันแล้ว ทุกคนวางแผนภาษีกันหรือยังคะ? ใครที่วางแผนภาษีเรียบร้อยแล้ว ต้องขอยกนิ้วให้เลยค่ะ ส่วนใครที่ยังไม่ได้วางแผนภาษี วิธีลดหย่อนภาษีได้อาจจะเหลือเวลาไม่เยอะแล้ว ตอนนี้สิ่งที่ทำได้ก็คือ การสำรวจตัวเองและดูซิว่ามีค่าลดหย่อนอะไรบ้าง แล้วคำนวณภาษีเพื่อเตรียมตัวจ่ายภาษีบุคคลธรรมดาให้สรรพากรไปตามระเบียบค่ะ
ในปี 2567 นี้ เราจะลดหย่อนภาษีอย่างไรได้บ้างนั้น บทความนี้ได้มัดรวมวิธีลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ฉบับ Update ประจำปี 2567 มาให้ทุกคนแล้วค่ะ
การลดหย่อนภาษี คืออะไร?
การลดหย่อนภาษี เป็นการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ที่คนทั่วไปอย่างพวกเราต้องจ่ายกันทุกปี) ที่กฎหมายกำหนดมาแล้วว่าสามารถนำมาเป็นรายจ่ายเพิ่มเติมได้ และรายจ่ายส่วนนี้ทำให้ชำระให้น้อยลง หรืออาจทำให้ได้เงินคืนภาษีนั่นเอง
การใช้สิทธิ์นี้จะมีค่าลดหย่อนภาษีที่มีหลากหลายรูปแบบด้วยกัน ขึ้นอยู่กับสถานะของทุกคนว่า ตอนนี้มีรายได้เท่าไหร่ ลงทุนอะไรบ้าง มีครอบครัวแล้วหรือยัง มีเงินออมหรือประกันอะไรบ้าง โดยจะขอจำแนกวิธีลดหย่อนภาษีออกเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้ค่ะ
4 ค่าลดหย่อนภาษี มีอะไรบ้าง?

1. ค่าลดหย่อนภาษีส่วนตัวและครอบครัว
สิทธิประโยชน์ทางภาษีขั้นพื้นฐานที่ทุก ๆ คนพึงได้รับตามกฎหมาย ซึ่งค่าลดหย่อนภาษีหมวดนี้จะอิงจากสถานะของแต่ละคนว่าโสด สมรส หรือมีบุตรแล้ว ใครอยู่ในสถานะไหน ให้ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีที่ตรงกับสถานะนั้น

เช่น นาย A เป็นคนโสด แต่จะใช้สิทธิลดหย่อนภาษีคู่สมรสไม่ได้ เป็นต้น แต่นาย A จะนำพ่อ แม่ เข้ามาพิจารณาด้วยได้ค่ะ
โดยประกอบด้วยค่าลดหย่อนภาษีต่าง ๆ คือ
รายการลดหย่อนภาษี | จำนวนภาษีที่ลดหย่อนได้ |
ผู้มีเงินได้ (ทุกสถานะได้หมด) | 60,000 บาท |
คู่สมรส (ไม่มีรายได้หรือคำนวณรวมภาษี) | 60,000 บาท |
ฝากครรภ์ และคลอดบุตร | 60,000 บาท / ครรภ์ |
บุตรชอบด้วยกฎหมาย บุตรบุญธรรม | 30,000 บาท / คน (ไม่จำกัดจำนวนคน) บุตรตั้งแต่ คนที่2 เกิดในหรือหลัง พ.ศ.2561 หักเพิ่มได้อีก คนละ 30,000 บาท/คน (ไม่จำกัดจำนวนคน) * หากมีบุตรชอบด้วยกฎหมายมากกว่า 3 คน จะนำบุตรบุญธรรมมาหักด้วยไม่ได้ * หากบุตรชอบด้วยกฎหมายมีน้อยกว่า 3 คน สามารถนำบุตรบุญธรรมมาหักเพิ่มได้ แต่รวมกับบุตรชอบด้วยกฎหมายแล้วต้องไม่เกิน 3 คน (บุตรบุญธรรมจะเพิ่มได้เพียง 1-2 คนเท่านั้น) |
เลี้ยงดูบิดามารดาของตนเองและของคู่สมรส (บิดามารดาต้องอายุ 60 ปีขึ้นไป และรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท) | หากดูแลเฉพาะครอบครัวตัวเอง ลดหย่อนได้คนละไม่เกิน 30,000 บาท / คน (บิดาและมารดาตัวเอง) รวมไม่เกิน 60,000 บาทต่อปี หากดูแลครอบครัวของคู่สมรสด้วย จะลดหย่อนได้สูงสุด 30,000 บาท / คน (บิดาและมารดาตัวเองและคู่สมรส) รวมไม่เกิน 120,000 บาทต่อปี |
อุปกระผู้พิการ หรือทุพพลภาพ (รายได้ไม่เกิน 30,000 บาท) | 60,000 บาท |
2. ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มประกัน เงินออม และการลงทุน
สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่อิงกับผู้ที่ได้ซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงินในลักษณะของการออม หรือการลงทุน เช่น ประกัน กองทุนรวม ตามที่รัฐบาลกำหนดค่ะ โดยจะประกอบด้วยค่าลดหย่อนภาษีแบบต่าง ๆ ได้แก่

2.1 เงินประกันสังคม
รายการลดหย่อนภาษี | จำนวนภาษีที่ลดหย่อนได้ |
ประกันสังคม | สูงสุด 9,000 บาท |
2.2 เงินประกัน
รายการลดหย่อนภาษี | จำนวนภาษีที่ลดหย่อนได้ |
ประกันชีวิต และประกันแบบสะสมทรัพย์ | ไม่เกิน 100,000 บาท (ต้องถือแผนกรมธรรม์เกิน 10 ปี และทำกับบริษัทประกันในประเทศไทย) |
ประกันสุขภาพ | ไม่เกิน 25,000 บาท แต่ถ้าจะรวมกับประกันชีวิต / สะสมทรัพย์ด้วย ลดหย่อนได้ไม่เกิน 100,000 บาท |
เงินประกันสุขภาพของบิดามารดาผู้มีเงินได้และคู่สมรส (พ่อแม่รายได้ไม่เกิน 30,000 บาท) | ไม่เกิน 15,000 บาท |
เงินประกันชีวิตแบบบำนาญ | ไม่เกิน 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษีแต่ไม่เกิน 200,000 บาท หากจะรวมการออมและกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท |
2.3 เงินออมและการลงทุน
รายการลดหย่อนภาษี | จำนวนภาษีที่ลดหย่อนได้ |
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ/ กบข./ สงเคราะห์ครูฯ | 15% ของเงินได้ ไม่เกิน 500,000 บาท หากรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ จะลดหย่อนได้สูงสุด 500,000 บาท |
กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (ThaiESG) | 30% ของเงินได้ ไม่เกิน 300,000 บาท (ต้องลงทุน 5 ปีขึ้นไป) |
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) | 30% ของเงินได้ หากรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ จะลดหย่อนได้สูงสุด 500,000 บาท |
กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) | 30% ของเงินได้ ลดหย่อนได้สูงสุด 200,000 บาท หากรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ จะลดหย่อนได้สูงสุด 500,000 บาท (ต้องลงทุน 10 ปีขึ้นไป) |
กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) | ลดหย่อนได้สูงสุด 30,000 บาท หากรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ จะลดหย่อนได้สูงสุด 500,000 บาท |
2.4 เงินลงทุนธุรกิจ
รายการลดหย่อนภาษี | จำนวนภาษีที่ลดหย่อนได้ |
เงินลงทุนธุรกิจ Social Enterprise (วิสาหกิจเพื่อสังคม) | 100,000 บาท |
3. ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มเงินบริจาค
สิทธิประโยชน์ทางการเงินซึ่งมาจากจำนวนเงินที่ได้หักออกจากรายได้ทั้งหมดก่อนคำนวณภาษี เพื่อบริจาคให้กับองค์กร หรือโครงการที่กฎหมายกำหนด เช่น สถานศึกษา สถานพยาบาล รวมถึงการเมือง โดยค่าลดหย่อนภาษี ดังนี้ค่ะ

รายการลดหย่อนภาษี | จำนวนภาษีที่ลดหย่อนได้ |
เงินบริจาคทั่วไป เช่น บริจาคให้วัด หรือมูลนิธิ | ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มอื่น ๆ |
เงินบริจาคเพื่อการศึกษา การกีฬา การพัฒนาสังคม และโรงพยาบาลรัฐ | 2 เท่าของเงินบริจาคจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มอื่น ๆ |
เงินบริจาคให้กับพรรคการเมือง | ตามที่จ่ายจริง สูงสุด 10,000 บาท |
4. ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ

ค่าลดหย่อนภาษีแบบสุดท้ายที่ทุกคนต้องติดตามข่าวสารจากรัฐบาลกันนิดนึงค่ะว่า จะมีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบไหนออกมาบ้าง เพื่อให้สามารถเข้าไปใช้สิทธิประโยชน์ทางการเงินตรงนี้ได้ค่ะ
ยกตัวอย่างโครงการจากรัฐบาล เช่น โครงการ Easy Receipt 2.0 หรือชื่อเดิม “ช็อปดีมีคืน” สำหรับคนที่เป็นสายช็อปปิงต้องไม่พลาดโครงการนี้นะคะ เพราะสามารถลดหย่อนภาษีตามที่จ่ายจริงได้สูงสุด 50,000 บาทเลยทีเดียวสำหรับการซื้อสินค้าตั้งแต่ 16 มกราคม 2568 ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 เท่านั้น แต่ต้องเช็กดี ๆ ก่อนนะคะว่ามีสินค้าไหนที่เข้าโครงการนี้บ้าง
ค่าลดหย่อนภาษีง่าย ๆ ก็คือ เมื่อซื้อสินค้าเสร็จแล้ว ให้ขอใบเสร็จจากร้านค้า หรือใบเสร็จอิเล็กทรอนิกส์เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการลดหย่อนภาษี
นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งโครงการของรัฐบาล นั่นคือ สามารถนำดอกเบี้ยที่กู้ยืมเพื่อซื้อหรือสร้างที่อยู่อาศัย เช่น บ้าน คอนโด แฟลต ทาวน์เฮาส์ มาลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริงไม่เกิน 100,000 บาท หมายความว่า ถ้าดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายทั้งปี 150,000 บาท จะลดหย่อนได้เพียง 100,000 บาทนั่นเอง
ทั้งหมดนี้ก็คือค่าลดหย่อนภาษีที่ได้รวบรวมมาอัปเดตให้กับทุกคนค่ะ ซึ่งเมื่อรู้กันไปแล้วว่าค่าลดหย่อนภาษีแบบไหนที่สามารถหักจำนวนภาษีให้น้อยลงได้บ้าง สเตปต่อมาที่อยากแนะนำให้ทำอย่างจริงจังก็คือ วางแผนการเงิน และคำนวณภาษีค่ะ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก ๆ โดยมีเหตุผลที่มีประโยชน์ต่อการยื่นภาษีของทุกคน ดังต่อไปนี้
ทำไมการวางแผนภาษีจึงสำคัญ?
- ช่วยให้สามารถบริหาร จัดการเงินที่มีอยู่ให้รัดกุมมากขึ้น ช่วยเตือนสติไม่ให้จ่ายฟุ่มเฟือย แถมหากเราวางแผนแล้ว ยังมีเงินออมในอนาคตด้วยนะ
- เป็นแนวทางให้เราได้ศึกษาค่าลดหย่อนภาษีแต่ละแบบ พร้อมกับเตรียมเอกสารหลักฐานประกอบยื่นภาษี และนำมาคำนวณภาษีได้ว่า ถ้าหักด้วยค่าลดหย่อนภาษีนี้จะหักได้เท่าไหร่ ซึ่งยิ่งวางแผนตั้งแต่เนิ่น ๆ จะยิ่งมีค่าลดหย่อนภาษี หรือได้ภาษีเงินคืนกลับมาได้มากขึ้น พูดง่ายๆคือ จ่ายภาษีอย่างคุ้มค่าที่สุดไปเล้ยยยยย
ใช้สิทธิค่าลดหย่อนภาษี ต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง?
หลังวางแผนภาษีเรียบร้อยแล้วว่าจะใช้ค่าลดหย่อนภาษีแบบไหน จะต้องมีหลักฐานประกอบการยื่นภาษีเสมอ เพื่อให้สามารถหักภาษีของเราได้อย่างสมบูรณ์ค่ะ ยกตัวอย่างเอกสารที่ต้องใช้ เช่น
- ใบเสร็จรับเงินจากการซื้อกองทุนรวม ประกันชีวิต ประกันสะสมทรัพย์
- หลักฐานการบริจาคเงิน
สามารถตรวจสอบหน่วยรับบริจาคได้ที่นี่
- หนังสือรับรองดอกเบี้ยจากการกู้ยืมธนาคาร
- ใบเสร็จจากการซื้อสินค้าในโครงการ Easy Receipt
บทสรุป วิธีลดหย่อนภาษี
ช่วงปลายปี 2567 จะเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ต้องวางแผนภาษีกันอย่างจริงจัง เพื่อหาช่องทางวิธีลดหย่อนภาษีให้เสียภาษีน้อยลง หรือได้ภาษีเงินคืนกลับมา โดยจะมีการยื่นภาษีเงินได้กันในช่วงต้นปี 2568 โดยมีค่าลดหย่อนภาษีให้ทุกคนเลือกใช้สิทธิทางการเงินได้ทั้งหมด 4 หมวด ซึ่งแต่ละหมวดจะมีเงื่อนไขในการใช้สิทธิ เพราะฉะนั้น จึงต้องอ่านเงื่อนไข และวางแผนภาษีดี ๆ ต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง ก็รีบไปขอจากหน่วยงาน หรือองค์กรให้เรียบร้อย เพื่อให้สามารถประหยัดภาษีได้มากที่สุดนั่นเองค่ะ
หากใครอยากลองคำนวณภาษีด้วยตนเอง และยื่นภาษีบุคคลธรรมดาเอง อ่านเพิ่มเติมที่ลิงค์นี้เลย
ไม่กล้ายื่นภาษีบุคคลธรรมดาเอง ใช้บริการยื่นภาษีสำหรับมือใหม่ ติดต่อ Line: @zerotoprofit
ติดตาม Zero to Profit ได้ที่
Facebook: https://facebook.com/ZerotoprofitTH/
Blockdit: https://www.blockdit.com/zerotoprofit