พนักงานเข้าใหม่ ประกันสังคม

พนักงานเข้าใหม่ ประกันสังคม หรือลาออกนายจ้างต้องทำอะไรกับประกันสังคมบ้าง?

“ประกันสังคม” ถือเป็นสวัสดิการขั้นพื้นฐานที่นายจ้างทุกคนต้องทำความเข้าใจ และปฏิบัติตามกฎหมายให้เรียบร้อย เพื่อให้สามารถใช้สิทธิประโยชน์ประกันสังคมเมื่อเกิดอุบัติเหตุ เจ็บป่วย หรือเหตุอื่น ๆ ในระหว่างการทำงานได้

แต่รู้มั้ยว่า ถ้ามีพนักงานใหม่เข้ามาทำงานวันแรก หรือมีพนักงานเก่าลาออกจากสถานประกอบการ นายจ้างจะทำอย่างไรต่อ ? Zero to Profit รวบรวมข้อมูลดี ๆ เกี่ยวกับพนักงานเข้าใหม่ ประกันสังคม หรือลาออกนายจ้างต้องทำอะไรบ้าง? ลองมาดูกันนะ

กรณีที่ 1 : พนักงานเข้าใหม่ ประกันสังคม

มาดูกรณีที่พนักงานใหม่เข้ามาทำงานในสถานประกอบการกันก่อนนะคะ นายจ้างจะต้องดำเนินการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 ให้กับพนักงานเข้าใหม่ ประกันสังคม ภายในระยะเวลา 30 วัน นับแต่วันแรกที่เข้าทำงาน ตาม พ.ร.บ. ประกันสังคม พ.ศ​. 2533

ขั้นตอนง่ายๆ เริ่มต้นจากกรอกข้อมูลพนักงานใหม่ลงในแบบฟอร์ม ได้แก่

  1. หนังสือนำส่งแบบขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน (สปส. 1-02)
  2. แบบขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน (สปส. 1-03)

แบบฟอร์มเหล่านี้ สามารถเข้าไปดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์สำนักงานประกันสังคมได้นะคะ

หลังจากที่กรอกข้อมูลของพนักงานใหม่ลงในเอกสารครบถ้วนหมดแล้ว นายจ้างสามารถนำไปยื่นได้ที่สำนักงานประกันสังคมในเขตพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่

แต่ๆ สำหรับนายจ้างคนไหนที่ไม่สะดวกไปที่สำนักงานประกันสังคม สามารถยื่นเรื่องขอขึ้นทะเบียนลูกจ้างผ่านเว็บไซต์ได้เช่นกันค่ะ โดยมีขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้

ขึ้นทะเบียนลูกจ้างออนไลน์
ขึ้นทะเบียนลูกจ้างออนไลน์
  1. ไปที่ e-Service เข้าสู่ระบบของสถานประกอบการ และเลือก “ผู้ประกันตน”
ขึ้นทะเบียนพนักงานเข้าใหม่ ประกันสังคม
ขึ้นทะเบียนพนักงานเข้าใหม่ ประกันสังคม

2. เลือก “ขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน / แจ้งรับผู้ประกันตนเข้าทำงาน (สปส. 1-03)” 

กรอกข้อมูลผู้ประกันตน
กรอกข้อมูลผู้ประกันตน

3. กรอกรายละเอียดตามบัตรประชาชนของพนักงานใหม่ พร้อมเลือกสถานพยาบาล

บันทึกข้อมูล
บันทึกข้อมูล

4. ตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้อง และกดยืนยันข้อมูล

ยกตัวอย่าง

นาย A เป็นเจ้าของบริษัท SBF มีพนักงานทั้งหมด 10 คน วันหนึ่ง นางสาว B เป็นพนักงานใหม่ของบริษัท และเข้าทำงานวันแรกในวันที่ 15 เมษายน

ดังนั้น นาย A จึงต้องดำเนินการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 ให้กับนางสาว B ภายในวันที่ 15 พฤษภาคม

หลังจากที่ได้ทราบวิธีการขึ้นทะเบียนประกันสังคมมาตรา 33 เมื่อมีพนักงานเข้าใหม่ในสถานประกอบการกันไปแล้ว อีกหนึ่งกรณีที่นายจ้างห้ามลืมเด็ดขาด ก็คือ “พนักงานลาออก” ค่ะ หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมต้องดำเนินการกับประกันสังคม และต้องมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง ตามไปดูหัวข้อถัดไปกันเลยค่ะทุกคน

กรณีที่ 2 : พนักงานลาออก ประกันสังคม

ในชีวิตการทำงาน มีเข้าทำงานก็ต้องมีออกจากงานใช่ไหมคะ ? เช่นเดียวกันกับประกันสังคมค่ะ เมื่อมีพนักงานในสถานประกอบการลาออกจากงาน ก็เท่ากับว่าพนักงานคนนั้นสิ้นสุดการเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 ด้วย ซึ่งอิงตามกฎหมาย พ.ร.บ. ประกันสังคม พ.ศ. 2533 มาตรา 38

ดังนั้น นายแจ้งจะต้องดำเนินการแจ้งสิ้นสุดการเป็นผู้ประกันตนกับสำนักงานประกันสังคมให้เรียบร้อยนั่นเองค่ะ

ในขั้นตอนการแจ้งสิ้นสุดการเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 นายจ้างจะต้องกรอกแบบแจ้งการสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน (สปส. 6-09) ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป นับจากวันที่พนักงานลาออก และจะต้องนำไปยื่นที่สำนักงานประกันสังคมในเขตพื้นที่ที่มีสถานประกอบการนะคะ

ลาออกจากงานประจำแล้ว ควรต่อประกันสังคมมาตราอื่นไหม?

การลาออกจากงานประจำ ก็คือการสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 อาจทำให้หลายคนต้องหาวิธีจัดการกับเงินสมทบที่เคยจ่ายใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตราอื่น ๆ เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ที่มีอยู่ให้สามารถใช้ต่อได้ หรือจะไม่ต่อประกันสังคมเลย เพื่อรอรับเงินคืนทั้งหมด แต่สำหรับใครที่ยังเลือกไม่ถูกว่าทางเลือกไหนตอบโจทย์ที่สุด เราได้รวบรวม 3 ทางเลือกทั้งหมดมาให้ทุกคนได้พิจารณา ดังนี้ค่ะ

สมัครเป็นผู้ประกันตนโดยสมัครใจ (มาตรา 39)

  • จุดประสงค์เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ของประกันสังคมมาตรา 33 เอาไว้
  • เคยเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 ส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน และออกจากงานไม่เกิน 6 เดือน
  • ส่งเงินสมทบเดือนละ 432 บาท และต้องส่งเงินให้ครบทุกเดือนต่อเนื่องกันภายในระยะเวลา 12 เดือน
  • สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ คือ กรณีเจ็บป่วย กรณีทุพพลภาพ กรณีเสียชีวิต กรณีคลอดบุตร กรณีสงเคราะห์บุตร และกรณีชราภาพ

ข้อดี : ได้รับสิทธิประโยชน์อย่างต่อเนื่อง เมื่อรู้สึกเจ็บป่วย จะมีค่ารักษาพยาบาลให้ฟรี

ข้อเสีย : จะได้รับเงินสมทบมาตรา 33 ในรูปแบบเงินชราภาพในจำนวนที่น้อย เนื่องจากมีการคำนวณเงินชราภาพจากฐานเงินเดือนที่ได้รับ

สมัครเป็นผู้ประกันตนนอกระบบ (มาตรา 40)

  • จุดประสงค์เพื่อเป็นหลักประกันการใช้ชีวิตสำหรับผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระ เช่น ฟรีแลนซ์ แม่ค้า พ่อค้า เป็นต้น
  • เหมาะสำหรับคนที่เคยเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 แต่ยังส่งเงินสมทบไม่ถึง 12 เดือน
  • การส่งเงินสมทบมีทั้งหมด 3 ทางเลือก ได้แก่
    • จ่ายเดือนละ 70 บาท สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ คือ กรณีเจ็บป่วย* กรณีทุพพลภาพ และกรณีเสียชีวิต
    • จ่ายเดือนละ 100 บาท สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ คือ กรณีเจ็บป่วย* กรณีทุพพลภาพ กรณีเสียชีวิต และกรณีชราภาพ
    • จ่ายเดือนละ 300 บาท สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ คือ กรณีเจ็บป่วย* กรณีทุพพลภาพ กรณีเสียชีวิต กรณีชราภาพ และกรณีสงเคราะห์บุตร
  • *ค่าใช้จ่ายในกรณีเจ็บป่วยของมาตรา 40 จะได้รับเป็นค่าชดเชย ซึ่งแตกต่างจากค่ารักษาพยาบาลในกรณีเจ็บป่วยของมาตรา 33 และ 39

ข้อดี : จะได้รับเงินสมทบมาตรา 33 ในรูปแบบเงินชราภาพแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย และยังได้รับเงินสมทบของมาตรา 40 เพิ่มอีก 1 ส่วน
ข้อเสีย : ไม่มีค่ารักษาพยาบาล ต้องออกค่ารักษาเอง หรือใช้สิทธิบัตรทองแทน

ไม่ต่อประกันสังคมมาตราไหนเลย

  • จะต้องไปขึ้นทะเบียนผู้ว่างงาน ณ สำนักงานจัดหางานภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ว่างงาน
  • ต้องรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่สำนักงานจัดหางานไม่น้อยกว่าเดือนละ 1 ครั้ง หรือรายงานตัวทางระบบอินเทอร์เน็ตก็ได้
  • ต้องมิใช่ผู้มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ
  • มีสิทธิรับประโยชน์ทดแทนเริ่มตั้งแต่วันที่ 8 นับแต่วันว่างงานจากการทำงานกับนายจ้างรายสุดท้าย

ข้อดี : ได้รับเงินสมทบมาตรา 33 คืนแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย

ข้อเสีย : จะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์จากประกันสังคมเลย


ยกตัวอย่าง

นางสาว B ทำงานในบริษัท SBF มาแล้ว 2 ปี ต่อมาตัดสินใจลาออกจากบริษัทในวันที่ 20 สิงหาคม นาย A จึงต้องไปทำเรื่องแจ้งสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่สำนักงานประกันสังคม ภายในวันที่ 15 กันยายน ส่วนนางสาว B ที่ส่งเงินสมทบประกันสังคมมาแล้ว 24 เดือน และต้องการรักษาสิทธิประโยชน์ต่อไปในขณะที่หางานใหม่ จึงได้ไปสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 หลังจากที่ลาออกมาแล้ว 1 สัปดาห์

สรุป Timeline การยื่นเรื่องกับประกันสังคม ต้องทำตอนไหนบ้าง ?

ในขั้นตอนของการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 ให้กับพนักงานใหม่ การแจ้งสิ้นสุดการเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 ให้กับพนักงานเก่า รวมทั้งการสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 และ 40 ของคนที่ลาออกจากงานไปแล้ว จะมีระยะเวลาในการดำเนินการที่ค่อนข้างแตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้ จะขอนำข้อมูลการแจ้งต่าง ๆ มาสรุปให้เห็นภาพและเข้าใจมากขึ้น โดยมีรายละเอียดต่าง ๆ ตามด้านล่างเลยค่ะ

สถานการณ์สิ่งที่ต้องทำระยะเวลา
มีพนักงานใหม่เข้าทำงานนายจ้างขึ้นทะเบียนลูกจ้างเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33ภายในระยะเวลา 30 วัน นับแต่วันแรกที่เข้าทำงาน
พนักงานเก่าลาออกจากงานนายจ้างแจ้งการสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตนภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป นับจากเดือนที่พนักงานลาออก
พนักงานเก่าเป็นผู้ประกันตนโดยสมัครใจ (มาตรา 39)ยื่นใบสมัครขอเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ด้วยตัวเองภายใน 6 เดือน นับแต่วันที่ลาออกจากงาน
พนักงานเก่าเป็นผู้ประกันตนนอกระบบ (มาตรา 40)ยื่นใบสมัครขอเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ด้วยตัวเองหลังจากที่ลาออกจากงานไปแล้ว 1 เดือน
ว่างงานขึ้นทะเบียนผู้ว่างงาน ณ สำนักงานจัดหางานภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ว่างงาน

สรุป

จะเห็นได้ว่า การที่พนักงานเข้าใหม่ ประกันสังคมหรือพนักงานเก่าลาออกจากงาน นายจ้างจะต้องดำเนินการขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนมาตรา 33 และแจ้งสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตนกับสำนักงานประกันสังคมให้เรียบร้อยตามลำดับ เพื่อเป็นการรักษาสิทธิประโยชน์ของพนักงาน (ลูกจ้าง) ตามที่กฎหมาย พ.ร.บ. ประกันสังคม พ.ศ. 2533 กำหนดนั่นเองค่ะ

นอกจากนี้ พนักงานคนไหนที่ลาออกจากงานไปแล้ว และกำลังตัดสินใจว่าจะจัดการอย่างไรกับเงินสมทบที่จ่ายไปในทุก ๆ เดือนที่ผ่านมา สามารถสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ต่อไปได้ หรือจะสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 ไปก่อน ในกรณีที่พนักงานยังส่งเงินสมทบไม่ถึง 12 เดือน ส่วนสำหรับใครที่ต้องการเงินสมทบคืนแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย และมีประกันสุขภาพอยู่แล้ว จะต้องไม่ลืมไปขึ้นทะเบียนผู้ว่างงาน และไปรายงานตัวกับสำนักงานจัดหางานทุกเดือนนะคะ

หวังเป็นอย่างยิ่งบทความนี้จะมีประโยชน์กับนายจ้างมือใหม่ รวมทั้งนายจ้างที่ต้องการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ไม่น้อย เพื่อที่จะได้นำไปใช้กับการดูแลสวัสดิภาพให้กับพนักงานเข้าใหม่ ประกันสังคม หรือลาออกจากประกันสังคมในสถานประกอบการของทุกคนได้เป็นอย่างดีค่ะ อย่าลืมนำไปใช้กันด้วยนะคะทุกคน

ยื่นประกันสังคมเป็นแล้ว ทุกปีอย่าลืมยื่นกองทุนเงินทดแทน ออนไลน์ ทำง่ายด้วยตัวเอง

ทำบัญชี-ภาษี ปรึกษาปัญหา ติดต่อ

Line: @zerotoprofit

ติดตาม Zero to Profit ได้ที่

Blockdit: https://www.blockdit.com/zerotoprofit

ผู้สร้างสรรค์คอนเทนต์ด้านบัญชีธุรกิจ ที่เชื่ออย่างสุดหัวใจว่า การทำบัญชีช่วยให้ธุรกิจมีกำไร ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง