ส่องต้นทุนกาแฟต่อแก้ว ก่อนเปิดธุรกิจร้านกาแฟให้ได้กำไร

ส่องต้นทุนกาแฟต่อแก้ว ก่อนเปิดธุรกิจร้านกาแฟให้ได้กำไร

อยากเปิดร้านกาแฟ ต้องรู้ก่อนว่ากาแฟ 1 แก้วมีต้นทุนอะไรบ้าง ธุรกิจร้านกาแฟอาจเป็นธุรกิจในฝันของใครหลายๆ คน แต่รู้หรือไม่ว่าก่อนจะตั้งราคากาแฟแต่ละแก้ว เราต้องเข้าใจองค์ประกอบของต้นทุนกาแฟ 1 แก้วเสียก่อนจึงจะตั้งราคาได้แบบไม่ต้องกลัวขาดทุน

ถ้าวันนี้ใครกำลังจะเปิดร้านกาแฟ อย่าเพิ่งต้ังราคาจนกว่าจะอ่านบทความนี้นะคะ

3 องค์ประกอบ ต้นทุนกาแฟต่อแก้ว

โดยทั่วไปแล้ว เรามักจะเข้าใจผิดว่าต้นทุนของกาแฟ 1 แก้ว ก็มีแค่ราคาเมล็ดกาแฟ น้ำแข็ง แล้วก็แก้วเท่านั้นเอง มันจะไปยากอะไร แต่ในความเป็นจริง ต้นทุนกาแฟต่อแก้ว มีมากกว่าค่าวัตถุดิบค่ะ ซึ่งเราแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ คือ

  • ต้นทุนวัตถุดิบ
  • ต้นทุนค่าแรง
  • ต้นทุนค่าใช้จ่ายในการผลิตอื่นๆ

วันนี้เราจะชวนทุกท่านมาทำความเข้าใจต้นทุนทั้ง 3 ประเภทกันพร้อมตัวอย่างการคำนวณเพื่อให้เห็นภาพมากยิ่งขึ้น ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลย

3 องค์ประกอบ ต้นทุนกาแฟต่อแก้ว
3 องค์ประกอบ ต้นทุนกาแฟต่อแก้ว

1. ต้นทุนวัตถุดิบ

ต้นทุนตัวนี้ทุกคนน่าจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว เพราะมันคือส่วนประกอบหลักๆ ของการชงกาแฟหอมอร่อย 1 แก้วอย่างแน่นอนทีนี้อะไรบ้างที่เรียกว่าวัตถุดิบของการชงกาแฟ ถ้ามองง่ายๆ จะแบ่งออกเป็นสองส่วน

  • Raw Material คือ วัตถุดิบที่ใช้ในการชงกาแฟ ได้แก่ เมล็ดกาแฟ นม น้ำตาล
  • Pack Material คือ พวกบรรจุภัณฑ์ทั้งหลาย ได้แก่ แก้ว หลอด

การคำนวณต้นทุนวัตถุดิบต่อแก้วให้ได้ จะช่วยให้เรากำหนดราคาขายได้ดีมากยิ่งขึ้น เริ่มแรกเราต้องรู้ว่า กาแฟ 1 แก้วต้องใช้วัตถุดิบแต่ละชนิดจำนวนเท่าใด รวมไปถึงราคาที่เราซื้อวัตถุดิบเข้ามา

ยกตัวอย่างเช่น

กาแฟ 1 แก้วใช้เมล็ดกาแฟ 10 กรัม ซื้อเมล็ดกาแฟ 1 ถุง ราคา 1500 บาท ได้น้ำหนักทั้งหมด 1,000 กรัม แล้วลองมาเข้าสูตรคำนวณนี้

สูตรคำนวณต้นทุนต่อแก้ว = ราคาวัตถุดิบ x ปริมาณที่ใช้ต่อแก้ว/ปริมาณทั้งหมดต่อแพค

= 1500 X 10/1,000

= 15 บาท/แก้ว

จากนั้นลองประยุกต์สูตรนี้กับต้นทุนวัตถุดิบตัวอื่นดู

  • ค่านม = กาแฟ 1 แก้วใช้นม 1 Oz ซื้อนมมา 1 กระป๋อง ราคา 30 บาท ได้ปริมาณทั้งหมด 13 Oz Cฉะนั้น ราคานมต่อแก้ว = 30×1/13 = 2.30 บาทต่อแก้ว
  • ค่าน้ำตาล = กาแฟ 1 แก้วใช้น้ำตาล 4 กรัม ซื้อน้ำตาลมา 1 ถุง ราคา 30 บาท ได้ปริมาณทั้งหมด 1,000 กรัม ฉะนั้น ราคาน้ำตาลต่อแก้ว = 30×4/1000 = 0.12 บาทต่อแก้ว
  • ค่าน้ำแข็ง = กาแฟ 1 แก้วใช้น้ำแข็ง 25 กรัม ซื้อน้ำแข็งมา 1 ถุง ราคา 10 บาท ได้ปริมาณทั้งหมด 1,000 กรัม ฉะนั้น ราคาน้ำแข็งต่อแก้ว = 10×25/1000 = 0.25 บาทต่อแก้ว
  • ค่าแก้ว = กาแฟ 1 แก้วใช้ แก้วและฝา 1 ชุดราคา 3 บาท
  • ค่าหลอด = กาแฟ 1 แก้วใช้ หลอด 1 อันราคา 0.20 บาท

และพอคำนวณต้นทุนทุกตัวต่อแก้วได้แล้ว เอาตัวเลขมารวมกันไว้เลย

ต้นทุนวัตถุดิบทั้งหมด = 15+2.30+0.12+0.25+3+0.2 = 20.87 บาทต่อแก้ว

แต่รู้เท่านี้ยังไม่พอ เพราะยังเหลือต้นทุนอีกสองส่วนที่ต้องคำนวณในขั้นถัดไป

ต้นทุนวัตถุดิบ
ต้นทุนวัตถุดิบ

2. ต้นทุนค่าแรง

กว่าจะขายกาแฟได้ 1 แก้ว เราก็ต้องมีพนักงานชงกาแฟ บางทีเราชงเอง บางครั้งเราจ้างพนักงาน ซึ่งไม่ว่าจะชงเองหรือจ้างพนักงาน นี่ล้วนแล้วแต่เป็นต้นทุนของการขายกาแฟทั้งหมด

โจทย์ของเจ้าของธุรกิจก็คือ จะต้องคำนวณต้นทุนค่าแรงพนักงานรวมเข้าไปเป็นต้นทุนกาแฟ 1 แก้วให้ได้ วิธีการอาจจะต้องอาศัยการคาดคะเนประกอบ เช่น

  • พนักงาน 1 คน มีเงินเดือน 15,000 บาท ใน 1 เดือนเฉลี่ยชงกาแฟจำนวน 3000 แก้ว
  • คิดเป็นต้นทุนค่าชงกาแฟต่อแก้ว = เงินเดือน/จำนวนแก้วที่ชงได้ใน 1 เดือน = 15,000/3000 = 5 บาท
  • ฉะนั้น ต้นทุนค่าแรงของกาแฟ 1 แก้วคิดเป็น 5 บาทต่อแก้ว

ต้นทุนค่าแรง
ต้นทุนค่าแรง

3. ต้นทุนการผลิตอื่น

นอกจากค่าวัตถุดิบและค่าแรงแล้ว กว่าจะชงกาแฟได้ 1 แก้ว แน่นอนว่าต้องมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกิดขึ้นอย่างเช่น ค่าเครื่องชงกาแฟ ค่าเช่าร้านกาแฟ

ยกตัวอย่าง เช่น

  • ค่าเครื่องชงกาแฟ ซื้อมาราคา 1 แสนบาท จะถูกคิดเป็นต้นทุนกาแฟต่อแก้วได้ เช่น ถ้ารู้ว่าเครื่องนี้ชงกาแฟได้ 5 ปี แต่ละเดือนคิดเป็นจำนวนแก้วได้ 3000 แก้ว
  • ค่าเสื่อมราคาต่อแก้ว = ราคาเครื่องชงกาแฟ/จำนวนแก้วทั้งหมดที่ชงได้ = 100,000/(5 ปี x 12 เดือน x 3000 แก้ว) = 0.55 บาทต่อแก้ว
  • ค่าเช่าร้าน เดือนละ 60,000 บาท แบ่งเป็นโซนชงกาแฟครึ่งนึงคือ 30,000 บาท หารด้วยจำนวนแก้วที่คิดว่าจะขายได้ 3000 แก้วต่อเดือน คิดเป็นต้นทุนต่อแก้ว = 30,000/3000 = 10 บาทต่อแก้ว
  • ต้นทุนการผลิตอื่นรวมแล้ว = 0.55+10 = 10.55 บาทต่อแก้ว

พอคำนวณต้นทุนทั้ง 3 หมวดได้แล้ว เอาตัวเลขมารวมกันตามสูตรนี้

ต้นทุนกาแฟ 1 แก้ว = ต้นทุนวัตถุดิบต่อแก้ว + ต้นทุนค่าแรงต่อแก้ว + ต้นทุนการผลิตอื่นต่อแก้ว

= 20.87 + 5 + 10.55 = 36.42 บาท

คิดง่ายๆ จากตรงนี้ ถ้าอยากตั้งราคากาแฟ 1 แก้ว ไม่ควรจะตั้งต่ำกว่า 36.42 บาท เพราะจะทำให้เราขาดทุนขั้นต้นแน่นอน

ต้นทุนการผลิตอื่น
ต้นทุนการผลิตอื่น

ที่เราเล่ามาเป็นเพียงแค่วิธีการคำนวณต้นทุนขายกาแฟ 1 แก้วเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง ธุรกิจอาจมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพิ่มเติมที่เรียกว่าค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร เช่น ค่าใช้จ่ายโฆษณา ค่าทำบัญชี ค่ากระดาษสำนักงาน เป็นต้น ซึ่งเราต้องคิดค่าใช้จ่ายเหล่านี้เข้าไปด้วย เพื่อสรุปกำไรสุทธิ ตามสูตรนี้

กำไรสุทธิ = รายได้ – ต้นทุนขาย – ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร

ถ้าเข้าใจสูตรนี้ ทุกคนน่าจะพอตั้งราคาขายกาแฟแก้วอร่อยได้ และมั่นใจได้ว่าขายแล้วจะมีกำไรไม่ขาดทุนอย่างแน่นอนค่ะ

สนใจเรียนรู้เรื่องค่าใช้จ่าย อ่านได้ที่นี่: วิธีแบ่งประเภทค่าใช้จ่าย ให้วิเคราะห์ง่าย ได้กำไรดี

ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจเปิดธุรกิจ ติดต่อ Line: @zerotoprofit

ติดตาม Zero to Profit ได้ที่

Facebook: https://facebook.com/ZerotoprofitTH/

Blockdit: https://www.blockdit.com/zerotoprofit

ผู้ร่วมก่อตั้งเว็บบล็อก Zero to Profit ที่อยากให้เรื่องบัญชีเป็นเรื่องง่ายและใกล้ตัวสำหรับเจ้าของธุรกิจ