การตลาดในปัจจุบันนั้นมีวิธีมากมาย การเลือกใช้แต่ละวิธีนั้นขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจ ความเหมาะสมและงบประมาณ ซึ่งความสำคัญของการทำการตลาด ก็เพื่อทำให้กลุ่มเป้าหมายและคนทั่วๆไปรู้จักสินค้าและบริการของเรานั่นเอง เรียกง่ายๆว่าการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ ทว่าแต่ละแบรนด์ธุรกิจเองก็จะมีการทำกลยุทธ์ทางการตลาดที่ต่างกัน เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค กลยุทธ์ทางการตลาดไม่มีตายตัว สามารถปรับ พัฒนา ประยุกต์ และสร้างใหม่ได้เสมอ บางรายอาจจะทำตามกระแสนิยมในขณะนั้น ก็ถือว่าช่วยให้แบรนด์เป็นที่รู้จักไปพร้อมกับกระแสที่อินเทรนด์อยู่นั่นเอง แต่ถ้าใครที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นกับการตลาดแบบไหนดี ที่จะทำให้เราไม่หลงทางและสามารถจับจุดผู้บริโภคได้ดีที่สุด ก็ต้องบอกว่ามีการตลาดแบบ Neuromarketing ที่อาจจะตอบโจทย์ ก่อนที่จะลงมือทำต้องเข้าใจรูปแบบและข้อมูลสำคัญของการตลาดแบบนี้ก่อน
Neuromarketing คืออะไร
Neuromarketing การใช้ประสาทวิทยาเข้ามาทำการตลาด ซึ่งเป็นการนำ2สิ่งที่แตกต่างกันนำมารวมกัน คือ Neuro มาจากคำว่า Neuroscience = ประสาทวิทยา และ Marketing = การทำการตลาด หากจะพูดให้เห็นภาพง่ายๆ คือ การนำเอาหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่ส่งผลกับการทำงานของสมองมนุษย์, อารมณ์, ความรู้สึก, กระบวนการทางความคิด, จิตใต้สำนึก, การตัดสินใจต่างๆ, การลอกเลียนแบบ, รวมไปถึงปฏิกิริยาที่ส่งผลต่อการกระตุ้นความสนใจ มาทำการตลาดเพื่อจูงใจและดึงดูดผู้บริโภคให้เข้ามาซื้อสินค้าและเข้ารับบริการของเราจากสื่อโฆษณา ประชาสัมพันธ์ ที่ได้เห็นและรับรู้มาจากสื่อโซเชียลมีเดียก็ดี จากทีวีก็ดี หรือแม้แต่สื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ ภาพอินโฟกราฟิก เป็นต้น
เหตุผลที่ควรนำ Neuromarketing มาใช้กับธุรกิจ
Neuromarketing เสมือนเป็นตัวช่วยทางธุรกิจ ที่จะทำให้ได้ใกล้ชิดกับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้นกว่าเดิม เข้าใจผู้บริโภคมากขึ้น ทั้งในแง่พฤติกรรม ความสนใจ แยกย่อยลงไปถึงความชอบ ความไม่ชอบ และทิศทางที่จะเกิดขึ้นทั้งระยะใกล้-ไกล เหล่านี้จะส่งผลให้การทำการตลาดของเราทำได้ง่ายอย่างมากเลยทีเดียว ช่วยให้แบรนด์ธุรกิจที่ไร้ทิศทางสามารถวางกลยุทธ์ทางการตลาดได้ดีและพร้อมใช้งานมากขึ้น เรียกว่า ช่วยให้วางแผนงานได้ตรงจุด ด้วยความที่การทำ Neuromarketing นั้นจะมีจุดเด่นตรงที่ เน้นในการสร้างประสบการณ์ผ่านคอนเทนต์ที่นำเสนอ เมื่อกลุ่มเป้าหมายเห็นคอนเทนต์ที่ส่งออกไปก็เกิดความประทับใจ เกิดการรับรู้และเกิดการซื้อสินค้า – บริการในที่สุด แน่นอนกว่าเหตุผลในการซื้อของผู้คนส่วนใหญ่หลักๆจะมาจากทางด้านความรู้สึก และอารมณ์ เมื่อรู้สึกว่าอยากได้ ต้องการจะซื้อก็ทำให้ตัดสินใจส่วนนี้ได้ง่าย ตามมาด้วยส่วนที่ตามลงมาคือเรื่องการรับรู้ผ่านทางการมองเห็น ไม่ว่าจะรูปลักษณ์ การแสดงป้ายราคาต่างๆ หากมีความโดดเด่นสะดุดตา ดึงดูดสายตาจนไม่สามารถละได้ นี่ก็มีแนวโน้มที่จะเกิดการซื้อสูงเช่นเดียวกัน หรืออีกนัยหนึ่งคือสามารถตัดสินใจซื้อหรือไม่ซื้อได้ในเวลาเดียวกัน ฉะนั้นแล้วความซับซ้อนของระบบสมอง การรับรู้ ความรู้สึก พฤติกรรมมนุษย์นั้นมีรายละเอียดค่อนข้างมาก ควรหยิบยกสัก1-2 สิ่งมาใช้เพื่อโน้มน้าวใจให้ซื้อสินค้าและบริการก็อาจจะเพียงพอต่อการทำคอนเทนต์การโฆษณา1ครั้ง จะได้ไม่เป็นการรบกวนระบบการรับรู้ของร่างกายมนุษย์มากเกินไป หากเราประโคมทุกอย่างลงในแผนการตลาดเราและทำครั้งเดียวโดยที่ขาดการวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน จะทำให้ผู้บริโภครู้สึกถูกยัดเยียดได้
เมื่อกลุ่มเป้าหมายเปลี่ยนถึงเวลาที่ธุรกิจต้องปรับ ! เมื่อกลุ่มเป้าหมายเปลี่ยนไป นั่นอาจจะเป็นสัญญาณที่บอกเราได้อย่างชัดเจนว่า ควรปรับตัวครั้งใหญ่แล้ว ถึงเวลาที่เหมาะสมอย่างแท้จริงที่จะลุกขึ้นมาปรับเปลี่ยนแบรนด์ให้เท่าทันกลุ่มเป้าหมายปัจจุบันนั่นเอง
ติดตาม Zero to Profit ช่องทางอื่นได้ที่
Facebook: https://facebook.com/ZerotoprofitTH/
Blockdit: https://www.blockdit.com/zerotoprofit