ใบกำกับภาษีคืออะไร เก็บใบกำกับภาษีเยอะๆ ช่วยประหยัดภาษีจริงไหม?

ใบกำกับภาษีคืออะไร เก็บใบกำกับภาษีเยอะๆ ช่วยประหยัดภาษีจริงไหม?

หนึ่งในเอกสารยอดฮิตที่คนทำธุรกิจต้องรู้จัก คือ “ใบกำกับภาษี” แต่ทว่าแม่ค้าทุกคนไหมที่จะต้องออกใบกำกับภาษีให้ลูกค้า แล้วถ้าซื้อของและเรียกเก็บใบกำกับภาษีได้เยอะๆ จะช่วยให้ร้านค้าประหยัดภาษีได้หรือไม่ เราลองมาหาคำตอบกันในบทความนี้ได้เลย

Q: ใบกำกับภาษีคืออะไร?

A: ใบกำกับภาษี เป็นเอกสารที่ธุรกิจจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT จะต้องออกให้กับคนซื้อสินค้าหรือบริการทุกครั้งที่มีการขายสินค้าหรือให้บริการ เพื่อบอกลูกค้าว่าเงินที่เราคิดไปน่ะ มีค่าสินค้าเท่าไร และภาษีมูลค่าเพิ่มเท่าไรบ้าง

Q: แล้วทุกร้านค้าต้องออกใบกำกับภาษีด้วยมั้ย

A: อย่างที่บอกไปว่าร้านที่ต้องออกใบกำกับภาษี จะเป็นร้านที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเท่านั้นค่ะ แปลว่า ถ้าวันนี้เรายังไม่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เรายังไม่มีสิทธิออกใบกำกับภาษีนะคะ

Q: ร้านแบบไหนที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มบ้าง?

A: จำง่ายๆ ถ้ารายได้เข้า 2 เงื่อนไขนี้ ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มให้ถูกต้อง

  1. มีรายได้จากธุรกิจที่ไม่ได้รับยกเว้น เช่น ขายอาหารสด ขายพืช สัตว์ อันนี้จะได้รับยกเว้น แต่ค้าขายทั่วไปส่วนใหญ่ไม่ได้รับยกเว้นค่ะ และ
  2. รายได้ตั้งแต่ 1.8 ล้านบาทต่อปีเป็นต้นไปค่ะ ซึ่งเราจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อเราทำบัญชีเป็นประจำ

Q: ธุรกิจขายของ กับให้บริการออกใบกำกับภาษีต่างกันไหม

A: ธุรกิจขายของ กับให้บริการ การออกใบกำกับภาษีจะแตกต่างกัน จริงๆ แล้วมันมีรายละเอียดปลีกย่อยหลายข้อและคนเข้าใจผิดเยอะมาก แต่ว่าถ้าจะจำกันง่ายๆ เราแนะนำว่าให้จำแบบนี้

  • ถ้าเป็นธุรกิจขายของ จะออกใบกำกับเมื่อเราส่งมอบของค่ะ ส่งมอบของเมื่อไร ออกใบกำกับภาษีให้ลูกค้าตามวันนั้นเลย ดังนั้น ถ้าเราสังเกตเอกสารที่ได้รับจากร้านค้าปกติแล้วเค้าจะใช้คำว่า ใบกำกับ/ใบส่งของ/ใบแจ้งหนี้ ประมาณนี้
  • ถ้าเป็นธุรกิจบริการ เราจะออกใบกำกับภาษี เมื่อรับเงิน คือ ไม่สนใจว่าแจ้งหนี้เมื่อไร แต่ว่าสนใจตอนรับเงิน ต้องออกใบกำกับภาษีให้ลูกค้าตอนนั้น ลองไปเช็คใบกำกับร้านที่เราซื้อบริการเค้าก็ได้นะ เค้าจะออกว่า ใบกำกับภาษี/ใบเสร็จรับเงินเป็นส่วนใหญ่ค่ะ

Q: ใบกำกับภาษีที่เป็นใบเล็กๆ เราจะเจอบ่อยมากในชีวิตประจำวัน อยากรู้จังเลยว่ามันต่างกับแบบเต็มรูปยังไง

A: ใบกำกับภาษีใบเล็กๆ บางๆ แบบนี้เราเรียก “ใบกำกับภาษีอย่างย่อ” ค่ะ คนที่ขายของหรือให้บริการจะมีสิทธิ์ออกก็ต่อเมื่อเป็นการขายแบบปลีกหรือการบริการรายย่อยให้คนจำนวนมาก

สังเกตุง่ายๆ บนหัวกระดาษจำมีคำว่า “ใบกำกับอย่างย่อ” ภาษาอังกฤษจะเป็นตัวย่อว่า “ABB” ระบุอยู่

ตัวอย่างที่เราเห็นชัดๆ เลยเช่น ร้านค้าในห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อที่ออกใบกำกับอย่างย่อแผ่นเล็กๆ บางๆ ให้เรา หรือว่าร้านอาหารส่วนใหญ่ก็จะเป็นใบกำกับภาษีอย่างย่อ

แบบนี้ถือว่าร้านค้าเหล่านี้ทำถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งพวกเค้าสามารถออกใบกำกับอย่างย่อได้ แต่ในกรณีที่ลูกค้ามาขอใบกำกับเต็มรูป ร้านเหล่านี้ก็ต้องออกใบกำกับแบบเต็มรูปให้ลูกค้าเช่นกัน

Q: การออกใบกำกับอย่างย่อกับเต็มรูปมันต่างกันไหม ข้อดี-ข้อเสียมันคืออะไร

A: อย่างที่บอกไปว่าการออกใบกำกับอย่างย่อ มันจะใช้ได้สำหรับร้านค้าขายปลีก ซึ่งพอเราขายปลีกแล้วเราต้องการความรวดเร็วทันใจ การออกใบกำกับอย่างย่อจึงตอบโจทย์ในเรื่องนั้น เพราะในใบกำกับอย่างย่อก็จะไม่ต้องกรอกข้อมูลลูกค้าว่าเค้าเป็นใคร เลขประจำตัวภาษีอะไร แต่ว่าใส่แค่ข้อมูลรหัสสินค้าสั้นๆ และระบุว่าราคารวมภาษีมูลค่าเพิ่มแค่นี้ก็เพียงพอแล้วค่ะ ซึ่งจะไม่เคร่งครัดเท่ากับใบกำกับภาษีเต็มรูป

สำหรับใบกำกับภาษีเต็มรูป เราต้องระบุชัดเจนเลยสำหรับข้อมูลคนซื้อว่าเป็นใคร เลขผู้เสียภาษีอะไร และรวมไปถึงข้อมูลสินค้าแบบจัดเต็ม ซึ่งถ้าจะวัดกันที่ความเร็วถ้าต้องออกใบกำกับเต็มรูปทุกคน ลูกค้าต่อคิวยาวแน่นอนค่ะ แต่ถ้าวัดกันที่ข้อมูล การออกใบกำกับแบบเต็มรูปธุรกิจจะมีข้อมูลลูกค้าแบบครบถ้วนอย่างแน่นอน ซึ่งอาจจะมีประโยชน์ในการวิเคราะห์ลูกค้าและยอดขายด้วยแต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จะเลือกแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมกับธุรกิจด้วยค่ะ

Q: เก็บใบกำกับภาษีได้เยอะๆ ช่วยประหยัดภาษีได้จริงป่าว

A: ถ้าสมมติเราเข้าระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม มันจะมีภาษีขาย คือ vat 7% ที่เราเรียกเก็บจากลูกค้า กับภาษีซื้อ หมายถึง vat 7% ที่เราโดนเรียกเก็บ

ตอนที่เรายื่นภาษีเราจะยื่นแบบนี้ คือ ภาษีขายเก็บได้เท่าไร – ภาษีซื้อที่เราจ่ายไป และมีเอกสาร “ใบกำกับภาษีเต็มรูป” แบบครบถ้วน ทำให้ยอดสุทธิภาษีที่ส่งให้กับสรรพากรจะลดลง ถ้ามีใบกำกับภาษีซื้อเยอะๆ จริงไหม

แต่ว่าใบกำกับภาษีซื้อมันไม่ได้หมายความว่าทุกใบเราเอามาใช้ประหยัดภาษีได้นะ มันจึงไม่สามารถช่วยให้เราประหยัดภาษีขึ้นเสมอไป

Q: ทำไมเก็บใบกำกับภาษีได้เยอะมันไม่ช่วยให้ประหยัดขึ้น

A: ข้อแรกเลย ถ้าใบกำกับภาษีนั้นไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ก็จะเอามาใช้เคลมภาษีซื้อไม่ได้อยู่แล้ว เพราะเงื่อนไขของทางสรรพากรกำหนดไว้ชัดเจนว่าต้องเป็นใบกำกับภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเท่านั้น

ส่วนข้อสอง ก็คือ ทุกครั้งที่ซื้อหมายถึงเงินสดของเราที่หายไป ถ้าอยากจะซื้อเพื่อประหยัดภาษีนุชว่าเป็นความเข้าใจที่ผิด จริงๆ ธุรกิจควรจะซื้ออะไรที่มันจำเป็นสำหรับการทำธุรกิจดีกว่าค่ะ

Q: สรุปสั้นๆ เรื่องการออกใบกำกับภาษี ความเข้าใจที่ถูกต้องคืออะไร?

สิ่งแรกเลยค่ะ เราต้องเช็คก่อนว่ารายได้เราเป็นประเภทใด และเรามีหน้าที่ต้องจด VAT และออกใบกำกับภาษีไหม ถ้ามีหน้าที่ก็ต้องออกใบกำกับภาษีทุกครั้งให้ถูกต้องค่ะ ซึ่งถ้าเป็นร้านค้าหรือบริการแบบปลีก เราสามารถเลือกที่จะออกใบกำกับภาษีอย่างย่อได้เช่นกันค่ะ

ส่วนการซื้อของถ้าอยากจะเอาภาษีซื้อมาใช้ให้ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย แนะนำว่าต้องเก็บเอกสาร “ใบกำกับภาษีตามรูปแบบ” ให้ครบถ้วน แต่อย่าลืมว่าทุกครั้งที่เราซื้อมันควรจะเป็นสิ่งที่จำเป็นและเกี่ยวข้องกับธุรกิจเสมอ เพราะเราต้องบริหารธุรกิจในภาพรวม ไม่ใช่แค่บริหารเฉพาะภาษีซื้อภาษีขายเพียงเท่านั้นนะคะ

ปรึกษาปัญหาบัญชีธุรกิจ หาโปรแกรมบัญชีที่ใช่สำหรับธุรกิจคุณ ติดต่อ

Line: @zerotoprofit หรือ https://lin.ee/36U1ks0Y

ติดตาม Zero to Profit ได้ที่

Facebook: https://facebook.com/ZerotoprofitTH/

Blockdit: https://www.blockdit.com/zerotoprofit

ผู้ร่วมก่อตั้งเว็บบล็อก Zero to Profit ที่อยากให้เรื่องบัญชีเป็นเรื่องง่ายและใกล้ตัวสำหรับเจ้าของธุรกิจ