แบรนด์ทุกๆแบรนด์ย้อมมีจุดขายเป็นของตัวเองแทบทั้งนั้น ทว่าการสร้างจุดขายนั้นจำเป็นต้องวางแผนและออกแบบมาตั้งแต่เริ่มแรก หากทำทีหลังอาจจะส่งผลให้การทำงานวุ่นวายได้ และหยุดชะงักเพราะไม่สามารถขายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้นั่นเอง การวางแผนส่วนนี้ล่วงหน้าจะช่วยได้อย่างมาก อีกทั้งยังช่วยให้เรามีจุดเด่นที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน เสมือนว่าเป็นเอกลักษณ์ของเราเลยก็ว่าได้ ฉะนั้นแล้วหากคิดจะทำแบรนด์จำเป็นต้องมีจุดขายคู่กันด้วยเสมอ
จุดขายสำคัญขนาดไหน ?
สำคัญอย่างมากเพราะจุดขายคือสิ่งที่ทำให้แบรนด์ไปต่อได้ ธุรกิจเติบโตไปในระยะยาวนั่นเอง ซึ่งจุดขายคือสิ่งที่เรามีแต่คนอื่นไม่มี ซึ่งต้องแตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ เพราะในตลาดสินค้าประเภทเดียวกันนั้นก็มีหลากหลายแบรนด์ที่ทำสินค้าออกมาขาย หากเราทำสินค้าขายและมีจุดขายซ้ำกันอีก แน่นอนว่าลูกค้าอาจจะแยกแยะไม่ออกว่สินค้าใครเป็นใครซื้อผิดซื้อถูก แต่ได้คุณภาพที่ต่างกัน ทางที่ดีคือควรสร้างจดขายให้แตกต่างเพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้า ทำให้ลูกค้าและผู้คนทั่วไปพูดถึงได้อย่างเต็มปากและได้ข้อมูลที่ถูกต้อง
หาจุดขายจากไหน ?
1.นำความแตกต่างมาเป็นจุดขาย
สิ่งแรกที่จะช่วยส่งเสริมจุดขายให้โดดเด่นและคนจำได้นั่นคือ เรื่องของความแตกต่าง ความแตกต่างในที่นี้อาจจะหมายถึงบริบทของผลลัพธ์ที่ใช้ ส่วนผสมที่ใช้ ต่อให้จะเป็นสินค้าประเภทเดียวกันกับคู่แข่งแต่มีส่วนผสมบางอย่างที่ให้ผลลัพธ์ต่างออกไป ส่วนนี้ก็เป็นจุดขายได้ หรือแม้แต่ความต่างจำพวกของรูปแบบและวิธีการใช้งานก็คือหนึ่งในสิ่งที่หลายแบรนด์นำไปชูเป็นจุดเด่นนั่นเอง แต่ทว่าทุกสิ่งต้องสอดคล้องกับความเป็นจริงด้วย หากสินค้าตรงข้ามกับจุดขายที่เป็นจริงแน่นอนว่าส่งผลเสียแน่นอน
2.นำสูตรลับหรือส่วนผสมลับเป็นตัวชูโรง
ด้วยความที่มีแบรนด์มากมายเกิดขึ้นในท้องตลาด ยิ่งในสินค้าประเภทเดียวกันยิ่งแข่งขันสูง จะเห็นชัดในแบรนด์จำพวกอาหารเสริมและเครื่องสำอางค์ที่แข่งกันชูจุดผสมตัวเด็ดตัวดังเข้ามาเป็นส่วนประกอบภายในสินค้าของตนเอง สู้กันชนิดที่ว่าหากแบรนด์ใหม่คิดจะเปิดตัวเข้ามาในตลาดต้องทำการบ้านอย่างหนักเลยทีเดียว ทั้งนี้แบรนด์หลายๆแบรนด์จึงชูจุดขายเป็นสูตรลับที่คิดขึ้นมาเฉพาะ หรือส่วนผสมที่โดดเด่น หายาก ราคาแพง ผ่านงานวิจัยมาแล้ว สิ่งเหล่านี้คือตัวช่วยที่ทำให้สินค้าน่าสนใจอย่างมาก อีกทั้งยังทำให้มูลค่าสินค้าสูงขึ้นตามไปด้วย เพราะเมื่อสินค้าดูมีความพรีเมี่ยมมากขึ้น การที่มีราคาสูงตามส่วนผสมที่ตั้งใจใส่ลงไปก็ทำให้ลูกค้ายอมจ่ายเพื่อได้สินค้าเกรดดีมาใช้งานนั่นเอง
3.ทำในสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายต้องการ
หากอยากขายสินค้าดี และมีคนสนใจเยอะๆ การขายสินค้าตามกลุ่มเป้าหมายต้องการเป็นหนทางที่ดีอีกทางหนึ่งเลยทีเดียว ปัจจุบันแบรนด์ต่างๆเริ่มหันมาใช้วิธีนี้กันมากขึ้นเพราะง่ายต่อการควบคุมและการวางแผน อีกทั้งยังสะดวกต่อการปรับตัวตามเทรนด์ตลอดเวลาอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น หากขายสินค้าออนไลน์ มีการแถมสินค้าเล็กๆน้อยๆตอบแทนลูกค้าในการสั่งซื้อ ซึ่งสินค้านั้นๆจะเป็นเอกลักษณ์ประจำร้านก็ช่วยให้ส่วนนี้เป็นที่จดจำและสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้อย่างง่ายได้ ข้อดีของการทำในสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายต้องการคือ ลูกค้าจะช่วยให้เราปรับปรุง แก้ไข พัฒนาได้ง่ายมากขึ้นด้วย หากพบข้อผิดพลาด ความบกพร่องในส่วนต่างๆ ลูกค้าที่เป็นกลุ่ทเป้าหมายของเราคือตัวช่วยสำคัญที่จะทำให้เราปรับปรุงแบรนด์ได้อย่างตรงจุด หมั่นสอบถามผลตอบรับ และทำความเข้าใจบริบทการซื้อขายของกลุ่มเป้าหมายตนเองอยู่บ่อยๆจะช่วยให้การทำแบรนด์เป็นไปด้วยความราบรื่นมากยิ่งขึ้น
สิ่งที่ควรทำอย่างยิ่งในการทำแบรนด์
การศึกษาตลาดให้ถี่ถ้วน ด้วยความที่ปัจจุบันมีสินค้ามากมายที่แข่งกันอยู่ภายในตลาดทั้งในและต่างประเทศ ความโดดเด่นและแตกต่างจะช่วยให้สามารถสร้างผลกำไรตามที่ต้องการได้ ยิ่งวางแผนออกมาดีเท่าไหร่ ผลลัพธ์จะดีตามไปด้วย อีกทั้งในส่วนของราคาขายจำเป็นต้องสอดคล้องไปกับตัวสินค้า ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ เรียกว่า สิ่งจำเป็นที่คนคิดริเริ่มทำแบรนด์สินค้าจะต้องทำและเตรียมให้พร้อม จะเห็นได้ว่ามีหลายแบรนด์ที่เจ็บและต้องปิดตัวไปกลางทาง บางรายก็ไม่ทราบสาเหตุ บางรายก็รู้ตัวดีว่าเหตุที่ขายไม่ได้เป็นเพราะเหตุใด ปัญหาหลักๆที่มักเจอคือ หาจุดขายไม่ได้ พอขายสินค้าไม่ได้ เงินก็จมไปกับทุน กำไรก็ไม่ได้ ทุนก็ไม่ได้คืน หรือแม้แต่การก็อบปี้แนวทางบวกกับนำจุดขายของคนอื่นไปเป็นของตัวเองสิ่งนี้ยิ่งไม่ควรทำอย่างยิ่ง อนาคตจะส่งผลทั้งด้านลบทั้งหมด ทางที่ดีต้องมีจุดขายเป็นของตัวเอง ชัดเจน ตรงไปตรงมา และซื่อสัตย์กับลูกค้า อย่าสร้างจุดขายที่เกินจริง เกินประสิทธิภาพที่สินค้าทำได้ เพราะบางอย่างอาจจะเกิดผลทางกฎหมาย เช่น การโฆษณาเกินความเป็นจริง หรือการหลอกลวง เหล่านี้ล่วนแต่แต่ส่งผลเสียต่อแบรนด์แทบทั้งสิ้น
ติดตาม Zero to Profit ได้ที่
Facebook: https://facebook.com/ZerotoprofitTH/
Blockdit: https://www.blockdit.com/zerotoprofit